บทความนี้สำหรับ Content Creator มือใหม่ที่กำลังเจอปัญหาหนักใจว่าจะเลือกกล้องที่มีลักษณะแบบไหนมาเป็นกล้องคู่ใจในการทำ Content กันอยู่ BIG CAMERA หาคำตอบมาให้แล้วครับ เดี๋ยววันนี้จะพาไปดูกันว่า Content Creator มือใหม่ถ้าอยากได้กล้อง ควรจะต้องเลือกยังไงกันบ้าง ไปครับ ไปดูกันเลยดีกว่า
1. จอหลังพับกลับได้
นอกจากบอดี้ที่ควรจะเล็ก เบา กะทัดรัด พกพาง่ายแล้ว อันดับแรกสุดคือควรจะเลือกกล้องที่มีจอหลังเป็นแบบพับกลับได้ครับ คือจะเป็นกล้องจอพับกลับแบบพับลง พับขึ้น หรือพับออกด้านข้างก็ได้ แต่จะต้องสามารถพับจอหลังกลับมาได้แบบกล้องเซลฟี่ อันนี้สำคัญมาก ๆ เพราะเวลาที่เรากำลังทำ Content กันอยู่ โดยเฉพาะเมื่อต้องถือกล้องเอง และตอนแต่งหน้าของบิวตี้บล็อกเกอร์ สิ่งเดียวที่จะช่วยยืนยันได้ว่าหัวและหน้าของเราไม่ได้หลุดออกไปจากเฟรมภาพก็คือจอหลังพับกลับที่เราใช้แทนกระจกนี่ล่ะครับ
ซึ่งการมีจอหลังพับกลับได้นี่มันไม่ได้สะดวกแค่ตัวผู้ดำเนินรายการเท่านั้นนะครับ เพราะแม้แต่ในกรณีที่เรามีทีมงานบันทึกภาพแยกต่างหาก ก็ช่วยในเรื่องการจัดองค์ประกอบของตากล้องเองได้ด้วยเช่นกัน เพราะตากล้องสามารถใช้การพับเอียงจอหลังเพื่อช่วยจัดองค์ประกอบในเฟรมได้แม้ในมุมยาก ๆ โดยที่ไม่ต้องก้ม ๆ เงย ๆ ให้ปวดหลังปวดคอด้วย
2. รองรับงานวิดีโอความละเอียดสูง
ถัดมาที่ส่วนสำคัญอันดับสอง ความละเอียดของวิดีโอและเฟรมเรท(fps)ของวิดีโอ อันนี้ก็สำคัญมากครับ โดยปกติแล้วในสมัยนี้ไม่ว่าจะหน้าจอคอมพ์หรือสมาร์ทโฟนต่างก็มีความละเอียดสูงกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นกล้องที่เราจะเอามาทำ Video Content ก็ควรจะรองรับความสามารถในการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงได้ด้วย
ซึ่งถ้าจะให้เจาะจงลงไปลึกกว่านั้นก็คือจะต้องสามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ FHD ขึ้นไปได้เพื่อให้ฟุตเทจของเรามีความละเอียดคมชัด ส่วนเฟรมเรท(fps)ของวิดีโอนั้นนอกจะช่วยให้ Movement ในคลิปมีความลื่นไหลแล้ว มันยังมีประโยชน์ตอนที่เราเอามา Slow Motion ด้วยนะ เพราะถ้าวิดีโอของเรามีเฟรมเรทเยอะเราก็จะสามารถทำ Slow Motion ได้สมูธลื่นไหลตามไปด้วยนั่นเองครับ
3. ระบบกันสั่น
อันดับสาม “ระบบกันสั่น” อันนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะ Content Creator สายท่องเที่ยว เพราะตอนเราทำ Vlog เราต้องเดินพาเที่ยวพากินใช่ไหมล่ะครับ ทีนี้ถ้ากล้องเราไม่มีกันสั่นเนี่ย วิดีโอที่ได้มามันก็จะสั่น ๆ ขึ้นลงตามจังหวะการเดินของเราด้วย เพราะฉะนั้นสำหรับ Content Creator สายท่องเที่ยวแล้ว กล้องที่มีระบบกันสั่นจึงเป็นอะไรที่มันจำเป็นมาก ๆ จะเป็นกันสั่นแบบ IBIS หรือเป็นกันสั่นแบบอิเล็คทรอนิคก็ได้ครับ ขอแค่มีกันสั่นมาช่วยเราหน่อยก็พอ ยิ่งถ้าสามารถใช้งานร่วมกันกับระบบกันสั่นในเลนส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้นได้นี่ยิ่งดีเลย นั่นก็เพื่อให้งานวิดีโอของเราออกมาสมูธลื่นไหล ไม่สั่นไหวชวนเวียนหัว ไม่ให้ความรู้สึกลุ้นระทึกปนวิงเวียนเป็น Blair Witch Project ไปนั่นเองครับ เพราะถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้กิมบอลมันจะมีขนาดเล็ก แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกทริปของเราจะสามารถพกพากิมบอลไปด้วยตลอดใช่ไหมล่ะ ถ้าได้ใช้กล้องที่มีกันสั่นมันก็จะต้องอุ่นใจกว่าอยู่แล้ว
4. ช่องต่อไมค์โครโฟน
สำหรับ Content Creator ที่ต้องการการบันทึกเสียงที่สดใสคุณภาพดีให้กับงานวิดีโอ ช่องเสียบไมค์มันเป็นอะไรที่ลืมไปไม่ได้เลยครับ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีกล้องที่มาพร้อมไมค์โครโฟนคุณภาพสูงหลายรุ่น แต่การใช้ไมค์โครโฟนแยกก็ยังให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าอยู่ดี เพราะอย่างนั้นเองกล้องคู่ใจของ Content Creator ควรจะเป็นกล้องที่มาพร้อมช่องไมค์ 2.5mm แล้วเอามาต่ออะแดปเตอร์ตัวแปลง หรือเป็นกล้องที่มาพร้อมช่องไมค์ 3.5mm เลยก็ได้ แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีช่องต่อไมค์โครโฟนมาให้ครับ เพราะไม่อย่างนั้นเราจะต่อไมค์แยกเข้ากับกล้องเพื่อบันทึกเสียงสดใสมีคุณภาพดีเป็นธรรมชาติไม่ได้เลย
เพราะคุณภาพเสียงก็เป็นสิ่งสำคัญการที่เราสามารถบันทึกวิดีโอได้โดยที่ไม่มีเสียงรบกวนหรือมีน้อยมาก รวมถึงได้คุณภาพเสียงที่ดีมันย่อมดีกว่าแน่นอน คงไม่มีใครอยากให้ฟุตเทจสวย ๆ ของเราต้องมาดับเพราะเสียงแทรกเสียงรบกวนหรอกเนอะ ถึงแม้ว่าตอนนี้อาจจะยังไม่ได้ใช้ แต่มีเอาไว้ก็ไม่เสียหาย ถ้าเกิดวันหนึ่งถึงเวลาที่เราจำเป็นต้องใช้ไมค์แยกแล้วกล้องดันไม่มีช่องต่อไมค์ ทางออกเดียวคือซื้อกล้องใหม่เท่านั้นเลยนะครับ เพราะอย่างนั้นเลือกกล้องที่มีช่องต่อไมค์เอาไว้ก่อนได้เปรียบกว่าแน่นอนครับ
*ในปัจจุบันนี้มีกล้องที่มาพร้อม Multi-Function Shoe หรือสามารถติดตั้งอุปกรณ์ Multi-Function Shoe Adapter เพื่อเปลี่ยนช่องเชื่อมต่อแฟลงแยกภายนอกบนกะโหลกกล้องให้สามารถใช้เชื่อมต่อไมค์โครโฟนได้ด้วยนะครับ ซึ่งข้อดีของการใช้ไมค์โครโฟนแบบนี้คือตอนเราเชื่อมต่อไมค์โครโฟนแยก สายไมค์โครโฟนจะไม่ไปเกะกะบังจอหลัง ทำให้สามารถใช้งานจอหลังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งกว่านั่นเอง ส่วนจะมีกล้องรุ่นไหนบ้างที่มีความสามารถนี้ แวะมาที่ร้าน BIG CAMERA กว่า 160 สาขาทั่วประเทศสิครับ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง
5. ฟังก์ชันพิเศษที่ควรมี
สำหรับข้อสุดท้ายนี้ก็ถือว่าเป็นข้อที่สำคัญไม่แพ้กันกับข้อก่อน ๆ เลยล่ะครับ เพราะของแถมอย่างพวกฟังก์ชันพิเศษที่ได้ติดมากับกล้องนี่ล่ะครับ ที่หลาย ๆ ฟังก์ชันมันช่วยให้การสร้างสรรค์งาน Video Content ของเรามีคุณภาพเจ๋งขึ้น รวมถึงทำให้เราสามารถทำงานได้สะดวกขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นก็จะต้องดูให้ดีด้วยว่ากล้องของเรามันได้ของแถมพวกนี้อะไรมาบ้าง
หลัก ๆ ในตอนนี้ก็จะเป็นพวกความสามารถในการรองรับการถ่ายทำวิดีโอในแนวตั้งและการเลือกอัตราส่วนเฟรมภาพ เพื่อให้งาน Video Content ของเราเหมาะสมกับลักษณะเฉพาะตัวของแพล็ตฟอร์มบนโซเชียลมีเดียต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น และความสามารถพิเศษในการแก้ไขความผิดพลาดจากการทำงานของระบบโฟกัส อย่างฟังก์ชั่นป้องกัน Focus Breathing ที่จะช่วยรักษาขอบเขตเฟรมภาพเมื่อเปลี่ยนตำแหน่งโฟกัส รวมถึงพวกระบบโฟกัสติดตามและระบบช่วยโฟกัสแบบต่าง ๆ ไปจนถึงความสามารถในการปรับระดับความเร็วในการทำทรานสิชั่นเมื่อเปลี่ยนตำแหน่งโฟกัส และความสามารถในการทำ USB-Streaming เป็นต้น
โดยเฉพาะสายรีวิวและบิวตี้บล็อกเกอร์ สำหรับสายนี้ควรเลือกกล้องที่มีฟังก์ชันระบบช่วยโฟกัสที่สามารถปรับเปลี่ยนสลับตำแหน่งการโฟกัสจากหน้าเรามาที่ของที่เรารีวิวได้อย่างแม่นยำ ซึ่งในปัจจุบันกล้องที่มีฟังก์ชันนี้ก็มีอยู่หลายค่ายเลยทีเดียว โดยจะใช้ชื่อแตกต่างกันไป ทั้ง Product Showcase และ Product Close-Up
เอาล่ะครับ สำหรับบทความนี้ก็จบกันไปอีกบทความหนึ่ง หวังว่าจะช่วยให้ Content Creator มือใหม่ตัดสินใจเลือกกล้องที่เหมาะสมกับสายงานของเราได้ ส่วนบทความหน้าจะมีอะไรมาฝากกันอีกเตรียมตัวอ่านกันไว้ให้ดี
อ้อ เกือบลืม แอบกระซิบกันสักนิดนึง เร็ว ๆ นี้ BIG CAMERA กำลังจะจัดงานกล้องด้วยนะครับ โอกาสนี้ล่ะ ใครอยากได้กล้องหรืออุปกรณ์ใหม่กันอยู่พอดี เตรียมตังค์กันไว้ให้ดีเลยจ้า
ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้า สอบถามข้อมูล หรือ ติดตามข่าวสารหรือโปรโมชั่นใหม่ๆ ของทางเราได้ที่นี่
Website : https://www.bigcamera.co.th/
Facebook : https://www.facebook.com/BIGCAMERACLUB