"เด็กชายผู้หยิบกล้องขึ้นมา... เมื่อพระเจ้าหลับตาหนี"
สำหรับชื่อของ Nick Ut (นิค อุ๊ด) คิดว่าพวกเราหลายคนน่าจะคุ้นหูกับชื่อนี้ดี เพราะนี่คือชื่อของตากล้องสงครามระดับตำนานอีกหนึ่งคน ที่โลกจารึกเอาไว้ในฐานะของเด็กชายที่หยิบกล้องขึ้นมา ในวันที่โลกไม่น่าภิรมย์จนแม้แต่พระเจ้ายังหลับตาหนี ว่ากันว่าหนึ่งชัตเตอร์ของเขาสามารถหยุดสงครามได้ชะงัด ยิ่งกว่าอาวุธมหาประลัยนับพันนัด อะไรคือเหตุผลของคนใจกล้า สิ่งใดที่ผลักดันเขาเข้าสู่แนวหน้าพร้อมกล้อง วันนี้พวกเราจะดำดิ่งผ่านอักษราที่คราคร่ำ ไปสำรวจที่มาของความมุ่งมั่น และค้นหาแรงบันดาลใจจาก Nick Ut ไปด้วยกัน

ย้อนกลับไปยังปี 1951 ที่ประเทศเวียดนาม ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ใกล้ไซง่อน (ปัจจุบันคือนครโฮจิมินห์) เด็กชาย Huỳnh Công Út (หวิน กง อุ๊ด)* เกิดและเติบโตขึ้นที่นี่ ในยุคที่คำว่า “สันติ” ยังไม่มีความหมาย ในโลกที่ผู้ใหญ่ถืออาวุธเข้าห้ำหั่น ในช่วงเวลาที่ประเทศถูกแย่งชิงกันโดยมหาอำนาจ บนผืนแผ่นดินที่เชื้อชาติและอุดมการณ์ เป็นคำอธิบายของความตาย ส่วนเด็ก ๆ ทำได้เพียงเจ็บปวดและสูญเสีย…
สงครามเวียดนามเริ่มต้นในปี 1955 ตอนที่เด็กชาย Huỳnh Công Út อายุได้เพียง 4 ขวบ เงาของสงครามลุกลามเป็นวงกว้าง ม่านควันปกคลุมไปไกลจนถึงในชนบท ยิ่งเมื่อรัฐบาลเวียดนามใต้ภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา เข้าสู้รบกับเวียดกง (Viet Cong) และกองทัพเวียดนามเหนือ (People's Army of Vietnam หรือ PAVN) ที่ได้รับการสนับสนุนจากโซเวียตและจีน เกมการประหารนั้นก็ยิ่งบานปลายจนดูทีท่าว่ามันจะไม่มีวันจบลงง่ายๆ
ขณะนั้นมีเด็กชายคนหนึ่งกำลังเดินตามหลังพี่ชาย... โดยที่ไม่รู้เลยว่าสงครามเบื้องหน้า จะสงบลงด้วยเสียงชัตเตอร์ของเขาในเวลาต่อมา

แม้สงครามจะสร้างความบรรลัยไปทุกย่อมหญ้า แต่มันก็สร้างอุดมการณ์แห่งสันติขึ้นมาด้วย... ดาราหนุ่มอนาคตไกล Huỳnh Thanh Mỹ (หวิน ถัน หมี) พี่ชายของ Nick Ut เองก็เข้าร่วมสงครามนี้ด้วย ไม่ใช่ในฐานะทหาร แต่ในฐานะช่างภาพสงคราม ที่ร้องคำรามผ่านเสียงชัตเตอร์ ว่าที่นี่ไม่ใช่สนามรบ แต่มันคือหมู่บ้านที่มีเด็กและผู้หญิง!
จากดาราหนุ่มอนาคตไกล Huỳnh Thanh Mỹ กลายเป็นช่างภาพสงครามแห่งสำนักข่าว AP (Associate Press) ประจำไซ่ง่อนที่มีฝีมือโดดเด่นน่าจับตา ผู้มีปณิธานจะหยุดยั้งสงครามด้วยชัตเตอร์ แต่ในสงครามนั้นผู้คนมักอายุไม่ยืน….

เมื่อคมกระสุนไม่รับฟังเสียงชัตเตอร์... ก่อนสงครามจะจบ... ก่อนจะถึงวัยกลางคน... Huỳnh Thanh Mỹ พี่ชายของ Nick Ut ก็ได้เดินทางกลับคืนสู่อ้อมกอดของความสงบนิรันดร์ในวัย 27 ปี...
ว่ากันว่า Huỳnh Thanh Mỹ ผู้พี่ที่จากไปเพราะไฟสงครามในฐานะ War Photographer นี้เอง ที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญ ให้ Nick Ut ที่ ณ ตอนนั้นอยู่ในวัยเพียง 14 ปี ต้องการจะสานต่อ “เสียงชัตเตอร์ของพี่ชาย” กลายเป็นความมุ่งมั่นให้เขาแบกความกล้าบ่ายหน้าเข้าสู่สมรภูมิในฐานะของช่างภาพสงครามตามรอยพี่ชายไปอีกคน

ในงานศพของ Huỳnh Thanh Mỹ ผู้เป็นพี่ชาย Nick Ut ได้พบกับ Horst Faas (ฮอร์สต ฟาสส์)** บก.ของ AP ประจำไซ่ง่อน ตอนแรก Hosrt Fass คิดจะเสนองานที่ AP ให้กับเขา แต่ก็นึกได้ว่าบ้านตระกูล Huỳnh สูญเสียให้กับสงครามนี้มากพอแล้ว เขาจึงเปลี่ยนใจพับความคิดนี้ไปในที่สุด

แต่ในปีถัดมากลับเป็นหนุ่มน้อย Huỳnh Công Út นี่เองที่เดินเข้าไปหาเขาถึงสำนักงาน แน่นอนว่าเขาโดน Horst Faas ไล่กลับบ้านทันที พร้อมบอกว่าให้กลับไปเรียนหนังสือต่อซะ
แต่นี่คือเด็กชายผู้หยิบกล้องขึ้นมาในวันที่แม้แต่พระเจ้ายังหลับตาหนี ด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวของ Huỳnh Công Út ที่สุดแล้ว Horst Faas ก็ต้องยอมแพ้ให้กับลูกตื๊อของเด็กหนุ่มคนนี้ เขาได้เข้าทำงานที่ AP ในฐานะเด็กห้องล้างอัด โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ถือกล้องเข้าเขตสงครามเป็นอันขาด...
ทว่าช่วงเวลาในห้องมืดกลับไม่เคยทำให้ความมุ่งมั่นมอดลง...
ถึง Nick Ut จะได้เริ่มงานในห้องมืด แต่ไฟสงครามในตอนนั้นมันสว่างมากเกินไป เขาจึงได้รับโอกาสให้ก้าวเท้าเข้าสู่ทุ่งสังหารในฐานะ War Photographer และเขาตอบรับทันที!
สงครามที่ดุเดือดทำให้ Nick Ut ได้รับบาดเจ็บถึง 3 ครั้งตลอดชีวิตการทำงานที่เวียดนาม เป็นคมกระสุน 2 ครั้ง และสะเก็ดระเบิดอีก 1 ครั้ง เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่คิดว่าตัวเองจะรอดไปได้ถึงอายุ 21 ด้วยซ้ำ
และแล้วในที่สุด...
8 มิถุนายน 1972 หมู่บ้าน Trang Brang (จ๋าง บ่าง) 50 กิโลเมตรจากไซ่ง่อน ในวันที่ท้องฟ้ามีเมฆครึ้ม ไม่ว่าจะด้วยความผิดพลาดหรือตั้งใจ อินทรีเหล็กที่กำลังทะยานผ่านหมู่บ้านได้โยนหีบผนึกอสูรลงมา และเมื่อสัมผัสกับพื้นโลกผนึกก็แตกออก... ในทันทีทันใดจอมอสูรร้ายที่เรียกว่า “นาปาล์ม” ก็โหมคำรามด้วยความร้อนแผดเผา มันไม่เลือกข้าง มันไม่สนใจ มันไม่ถามไถ่ชื่อเสียง มันทำเพียง... แค่เผา... เผาโดยไม่สนใจว่าเป็นเด็กหรือทหาร! เป็นบ้านหรือบังเกอร์!
Nick Ut อยู่ที่นั่น…!!! เขาอยู่ตรงนั้นกับ Leica M2 ที่โหลดฟิล์มเอาไว้เต็มอัตรา ตัวชาและสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะผงะกับแรงกระแทกจากกัมปนาทฟาดพสุธาของนาปาล์ม แต่เขาสั่นสะท้านเพราะสะเทือนใจกับภาพตรงหน้า ภาพเด็กหญิงที่วิ่งร้องไห้ออกมาโดยสวมใส่เปลวไฟต่างเสื้อผ้า! ผิวเนื้อไหม้! เธอร้องไห้! เธอวิ่งไปทั้งน้ำตา! และร้องขอความช่วยเหลือ ว่า “Nong qua, nong qua! (แปลว่า ร้อน…ร้อนเหลือเกิน!)”
Leica M2 ในมือของ Nick Ut ถูกยกขึ้นประทับลั่นชัตเตอร์โดยสัญชาตญาณ เป็นชัตเตอร์จากจิตวิญญาณและความเชื่อ...ว่า “โลกนี้ไม่ควรมีเด็กคนไหนต้องมาวิ่งหนีไฟของผู้ใหญ่!”
นาปาล์มลูกนั้นสั่นสะเทือนผืนดินและชีวิตคนเวียดนามอย่างหนักหน่วง แต่ชัตเตอร์ของ Nick Ut สร้างแรงกระแทกได้หนักกว่า!
ภาพของเขาอาจไม่สวยงามแต่มันสัตย์จริง ของในมือเขาไม่ได้ยิงแต่มันเปิดโปง! -“The Terror of War”- ภาพถ่ายใบนั้นมันไม่ได้ทำให้ Nick Ut โด่งดัง แต่มันทำให้มหาอำนาจต้องอับอาย และกลายเป็น Iconic ของคนกล้าที่ท้าทายโลกด้วยการเอากล้องไปชี้หน้าความจริง!
แม้จะต้องล่าช้าออกไปบ้าง เพราะในปี 1972 ที่สำนักข่าว AP การเผยแพร่ตีพิมพ์ภาพเปลือยยังเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะภาพเปลือยที่ถ่ายจากทางด้านหน้า แต่คุณค่าของข่าวในภาพถ่ายใบนี้ มันทรงพลังจนสามารถลบล้างข้อสงวนใด ๆ เกี่ยวกับภาพเปลือยได้อย่างหมดจด
...ในที่สุด “The Terror of War” ก็ถูกตีพิมพ์ และเป็นที่รู้จักในวงกว้างอีกชื่อว่า “Napalm Girl”...
ทันทีที่ “The Terror of War” ถูกเผยแพร่ ความชอบธรรมของสงครามเวียดนามก็ถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง ภารกิจเพื่ออิสรภาพนี้ถูกตั้งคำถาม ภาพจริงของสงครามถูกนำเสนอมากขึ้น ไม่ใช่แค่ภาพของฮีโร่แบบที่เคย แต่ยังรวมถึงเหยื่อสงคราม ความผิดพลาด และความเจ็บปวดอีกด้วย
3 ปีหลังถูกตีพิมพ์ “The Terror of War” หรือในชื่อ “Napalm Girl” ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างทรงพลัง จากภาพถ่ายมันได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นเลิศ อเมริกาถูกกดดันอย่างหนักทั้งจากในและนอกประเทศ จนในที่สุดสงครามอันว่างเปล่าและยาวนานก็เดินทางมาถึงปลายอุโมงค์...
30 เมษายน 1975 กองทัพเวียดนามเหนือบุกยึดไซ่ง่อน รัฐบาลเวียดนามใต้ยอมจำนนอย่างเป็นทางการ นี่เป็นวันสิ้นสุดของสงครามที่ยืดเยื้อมานาน และกลายเป็นสัญลักษณ์ความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกาอย่างเปิดเผยที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
จบเสียที พอกันที ไม่มีอีกแล้วความสูญเสีย...
นับจากวันที่สงครามเวียดนามจบลง Nick Ut ก็ยังคงอุทิศตนทำงานเป็นช่างภาพข่าวต่อไป จวบจนเกษียณจาก AP ในปี 2017 หลังทำงานถ่ายภาพข่าวมา 51 ปีเต็ม โดยมีเกียรติยศสูงสุดเป็นช่างภาพข่าวที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์*** (Pulitzer Prize for Photography) ในปี 1973
ปัจจุบันฟิล์มต้นฉบับของ “The Terror of War” ถูกเก็บรักษาอย่างเป็นทางการ ในฐานะส่วนหนึ่งของคลังภาพประวัติศาสตร์ (AP Archives) โดยสำนักข่าว AP ณ สำนักงานใหญ่ ในกรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา กลายเป็นทรัพย์สินทางประวัติศาสตร์ และเป็นหนึ่งใน ภาพข่าวที่ทรงอิทธิพลที่สุดในศตวรรษที่ 20
ซึ่ง Nick Ut เคยกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ว่า “That negative is not just mine — it belongs to history.” แปลว่า “ฟิล์มต้นฉบับนั้นไม่ใช่ของผมคนเดียว มันเป็นของประวัติศาสตร์”
และเร็ว ๆ นี้ ในบ้านเราเอง ที่ประเทศไทย ก็กำลังจะมีการจัดนิทรรศการภาพถ่ายแสดงผลงานของ Nic Ut ด้วยนะครับ ส่วนจะเป็นที่ไหน วันไหน เดี๋ยวแอดได้ข้อมูลที่แน่นอนแล้วจะมาเล่าให้ฟังกันอีกที
ส่วนวันนี้ก็ต้องขอลากันไปก่อน แล้วคราวหน้าจะมาเล่าเรื่องของใครให้อ่านกันอีก คอยติดตามกันไว้ด้วยนะครับ
* ชื่อเดิมของของ Nick Ut คือ Huỳnh Công Út (หวิน กง อุ๊ด) ส่วนชื่อ Nick Ut ที่รู้จักกันในวงกว้าง เขาได้มาเพราะเพื่อนร่วมงานชาวตะวันตกไม่สามารถออกเสียงเรียกชื่อที่ถูกต้องของเขาได้ เพื่อนคนนั้นก็เลยตั้งชื่อ Nick Ut ให้กับเขา และกลายเป็นชื่อที่เขาใช้แทนตัวเองจนถึงปัจจุบัน
** Horst Faas นั้นไม่ใช่แค่เพียงเป็นบก.ของ AP ประจำไซ่ง่อนเท่านั้น แต่เขาคือช่างภาพสงครามที่สามารถครองรางวัล Pulitzer Prize for Photography ได้มากถึง 2 สมัยอีกด้วย
*** รางวัล Pulitzer Prize for Photography คือรางวัลระดับโลกของช่างภาพข่าว ถ้าจะอธิบายง่าย ๆ ให้เห็นภาพ มันคือเกียรติยศระดับรางวัลโนเบล หรือ Oscar ของช่างภาพข่าวเลยทีเดียว นี่คือบัลลังก์แห่งชัตเตอร์ที่ช่างภาพสงครามระดับตำนานเท่านั้นที่คู่ควร