แสง… ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่เราบันทึกไว้ในภาพ หากแต่คือสิ่งที่บันทึกเรา... ในทุกครั้งที่ลั่นชัตเตอร์
ในโลกแห่งเทคโนโลยีที่ทุกวินาทีหมุนเร็วขึ้นเสมอ มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือ “ความรู้สึกของการได้กดชัตเตอร์ด้วยหัวใจ” เป็นสิ่งสำคัญที่ Leica M ทำให้ผู้คนทั่วโลกตกหลุมรัก... ว่ากันว่า Leica M คือ “กล้องที่ทำให้โลกหมุนช้าลง” และหัวใจของมันประกอบขึ้นมาจาก 2 ส่วน มีฐานรากเป็นกล้องที่เรียบง่ายแต่สุดแกร่งอย่าง M System โดยมีส่วนเติมเต็มเป็นเลนส์ M Mount ที่กลมกล่อมอย่างลงตัวไม่เหมือนใคร มันไม่ใช่เพียงแค่อุปกรณ์บันทึกแสงที่ประกอบขึ้นมาจากชิ้นแก้วและโลหะ หากแต่เป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณแห่งการถ่ายภาพ ที่แม้จะผ่านกาลเวลามานานนับหลายสิบปี ก็ยังคงโลดแล่นบรรเลงเพลงชัตเตอร์อยู่จนปัจจุบัน...
วันนี้เราจะเปิดประตูสู่โลกแห่งเวทมนตร์ของ Leica Tone อันเป็นอัตลักษณ์แห่งแสงสีที่ไม่เหมือนใคร แล้วดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของ Leica M กันครับ ทำไมจนถึงปัจจุบันนี้มันก็ยังคงมีลมหายใจอยู่อย่างงดงามไม่จากไปไหน... เราจะเดินทางท่องไปกับอักษราที่คราคร่ำเพื่อค้นหาคำตอบนั้นไปด้วยกัน...

ย้อนหลังกลับไปที่ความสำเร็จของ Leica I ด้วยความท้าทายครั้งใหม่ Leica คิดตัดสินใจฉีกหนีจากความสำเร็จเดิมด้วยการพัฒนากล้อง Series ใหม่ Leica M... เริ่มจากการติดตั้ง Viewfinder เข้าไป แล้วเปลี่ยน Mount กล้องใหม่ให้เป็นแบบสลักเขี้ยวล็อค จากนั้นก็เข้าไปอยู่ในมือของช่างภาพชื่อดังมากมาย เพื่อบันทึกภาพประวัติศาสตร์เอาไว้นับไม่ถ้วน
แล้วตำนานที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1954 ก็กลายเป็นบันทึกการเดินทางจากความแม่นยำเชิงกลจนกลายเป็นงานศิลป์ที่ข้ามกาลเวลา เมื่อเลนส์ทุกชิ้นไม่ใช่อุปกรณ์บันทึกภาพ แต่เป็นเครื่องมือสื่อสารของอารมณ์กับแสง...

ความคมชัดอันละเมียดละไม รายละเอียดที่ซ่อนอารมณ์ และโบเก้ที่ราวกับภาพฝัน ทั้งหมดคือผลลัพธ์จากปรัชญา “Das Wesentliche” หรือที่แปลว่า มรดกและวัฒนธรรมแห่งความเรียบง่ายและจำเป็น แก่นแท้ที่ Leica ยึดถือมาโดยตลอด มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อ “บันทึกภาพ” แต่เกิดมาเพื่อ “ถ่ายทอดความรู้สึก”

เมื่อเลนส์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการขาย แต่ถูกจุดประกายขึ้นมาเพื่อมอบชีวิตให้ภาพถ่าย มันจึงกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารของอารมณ์กับแสงไปในที่สุด ทุกชิ้นแก้วที่ถูกขัดเกลาด้วยความละเมียดละไมในระดับไมครอน ทุกชิ้นส่วนที่ถูกประกอบขึ้นอย่างประณีต ส่งให้ภาพจากเลนส์ Leica M Mount มีคาแรกเตอร์ที่เด่นชัด คอนทราสต์ที่พอดี แสงที่นุ่มแต่นิ่ง โบเก้ที่ไม่ใช่แค่ละลายแต่ “มันหายใจได้” เป็นเสน่ห์ที่เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ทำซ้ำไม่ได้

เพราะมันไม่ได้ให้แค่ภาพที่ชัด คม สวย แล้วจบลงตรงนั้น หากแต่มันให้ “ความรู้สึก” ที่ไม่มีใครแทนได้ เป็น “เครื่องมือของศิลปิน” มากกว่า “อุปกรณ์บันทึกภาพ” เมื่อมองผ่านเลนส์ Leica M คุณจะไม่ได้เห็นโลก แต่คุณจะได้สัมผัส “จิตวิญญาณ” ของมัน

Masterpiece ระดับตำนานในนามแห่ง Mandler Design... หากนายช่างใหญ่ Oskar Barnack คือผู้วางรากฐานของ Leitz Camera ดอกเตอร์ Walter Mandler ก็คือนักปราชญ์แห่งชิ้นแก้วผู้ต่อยอดความสำเร็จจากบิดาแห่งเลนส์ถ่ายภาพ Max Berek ด้วยการนำพาชื่อของ Leica Tone ที่มีอัตลักษณ์ไม่เหมือนใครให้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

Walter Mandler คือนักเล่นแร่แปรธาตุผู้ผสานศาสตร์แห่งศิลปะเข้ากับวิศวะ และผสมอัจฉริยภาพเชิงกลเข้ากับอัตลักษณ์เชิงศิลป์อย่างลงตัว... ตลอดระยะเวลาภายใต้การนำทัพของดอกเตอร์ Walter Mandler มีเลนส์ Mandler Design ออกมาถึง 45 รุ่น และในปัจจุบันหลายเลนส์ก็ยังคงโลดแล่นอยู่บนโลกแห่งการถ่ายภาพ
จนถึงกับมีคำพูดว่าเลนส์ Mandler Design คือเลนส์ที่ Leica lovers ต้องใช้ให้ได้สักครั้งก่อนตาย




Walter Mandler จากตำนานสู่ปัจจุบันที่ยังมีชีวิต...
แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 7 ทศวรรษ แต่จิตวิญญาณแห่ง Leica M ก็ไม่เคยเลือนหาย ทุกวันนี้ตำนานเหล่านั้นก็ยังคงเดินหน้าต่อ ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำแต่ไม่เคยทิ้งหัวใจดั้งเดิม
เลนส์ Leica M รุ่นใหม่เหล่านี้ไม่ใช่เพียงการสืบทอดทางเทคโนโลยี แต่เป็นการส่งต่อ “จิตวิญญาณ” ที่ผสมผสานความแม่นยำของวิศวกรรมกับความละเอียดอ่อนของศิลปะในระดับที่เหนือคำบรรยาย เป็นตัวแทนของการลงมือทำที่สะท้อนความเชื่อว่า “ภาพถ่ายที่ดีที่สุดไม่ได้มาจากเทคโนโลยี แต่มันมาจากความรู้สึกของตากล้อง”

ในยุคปัจจุบันเป็นยุคของเลนส์ Summilux-M ASPH และ APO Summicron-M ASPH ที่ถูกปรับแต่งและพัฒนามาเพื่อความคมชัดที่สูงขึ้น แต่ Leica ก็ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า “ความคมชัดระดับไมครอน” และ “โบเก้ที่มีชีวิต” สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน ผ่านทางภาพถ่ายที่ให้รายละเอียดคมชัดถึงระดับพิกเซล แต่ยังคงอัตลักษณ์แห่ง Leica ที่มีมิติ นุ่มละมุน เปี่ยมอารมณ์ อบอุ่นและอบอวลด้วยออร่า เหมือนภาพความทรงจำอันห่างไกลในความคิดถึงจากยุคฟิล์มที่ถูกห่อไว้ในเทคโนโลยีแห่งอนาคต ขณะเดียวกับที่มอบอิสระในการตีความแสง ซึ่งไม่ถูกบังคับด้วยซอฟต์แวร์ แต่ถูกปลดปล่อยด้วยหัวใจของตากล้องประดุจบทกวีแห่งแสง

กว่า 70 ปีผ่านไป จิตวิญญาณนี้ก็ยังคงหายใจอยู่อย่างทรงพลัง...
Leica M Mount ยังคงเป็นเลนส์ที่ถูกผลิตด้วยมือ ไม่มี Automation มีเพียงหัวใจของช่างผู้หลงใหลในอัตลักษณ์ที่เหนือล้ำ อาจจะเพราะ Leica M ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทุกคน แต่มันถูกสร้างขึ้นมาให้คนที่ยังเชื่อว่า “ภาพถ่ายคือศิลปะที่มีชีวิต” ทุกการหมุนโฟกัสจึงเป็นการกลับมาสู่รากเหง้าของการถ่ายภาพ เพื่อให้ทุกเฟรมคือบทสนทนาระหว่างอารมณ์กับแสง
เหล่านี้เอง... คือสิ่งที่ Leica M ทำให้ผู้คนทั่วโลกตกหลุมรักมานานกว่า 7 ทศวรรษ


เอาล่ะครับ วันนี้พอหอมปากหอมคอกันเท่านี้ก็แล้วกัน จริง ๆ ก็อยากจะเล่าเรื่อง Mandler Design ให้อ่านอยู่เหมือนกันหรอก แต่ย่อหน้าไม่พอเสียแล้ว วันนี้ก็เลยต้องลากันไปก่อน แล้วมาพบกันใหม่เมื่อความต้องการทางการถ่ายภาพของเราตรงกัน ที่ร้าน BIG Camera กว่า 160 สาขาทั่วประเทศ และที่ BIG Camera Online






























